นักต่อยเยี่ยมที่สุด แล้วก็ถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อยุค 1940-50 สมัยนั้นนับว่าเป็นสมัยที่แวดวงอุตสาหกรรมเริ่มรุ่งเรือง ในเมืองนี้ก็เลยเต็มไปด้วยโรงงานต่าง ๆ มากไม่น้อยเลยทีเดียว

นักต่อยเยี่ยมที่สุด มีรถไฟเป็นการติดต่อสื่อสารหลักของคนเรา เนื่องจากว่าแพงถูกเยอะที่สุดเท่าที่จะถูกได้ ในเวลาที่บ้านแล้วก็ที่อยู่ที่อาศัยโดยยิ่งไปกว่านั้นในบริเวณของคนดำนั้นชอบเป็นแฟลตห้องพักที่อยู่กันอย่างคับแคบ หรือเป็นบ้านแบบทาวน์เฮาส์ (ถ้าหากคิดภาพไม่ออกให้รำลึกถึงภาพบ้านเอื้อเฟื้อในประเทศไทยแต่ว่าเล็กรวมทั้งแออัดคับแคบกว่า)

โดยบ้าน 1 ข้างหลังจะอยู่กันเป็น 1 ครอบครัวใหญ่ รวมทั้งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีผู้อาศัยในบ้านข้างหลังนั้นมากยิ่งกว่า 10 คน แน่ ๆ เด็กที่เกิดมาในช่วงนั้นจำต้องเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่อายุยังน้อย อย่าลืมว่าข้อบังคับควบคุมแรงงานก็มิได้เอาจริงเอาจังราวกับตอนนี้

แม้บ้านหลังไหนขาดเงินส่งลูกให้เรียนหนังสือ ก็จำต้องเอาลูก ๆ ออกมาช่วยปฏิบัติงาน แล้วก็การขาดการเรียนก็ทำให้ชีวิตของเด็กใครหลาย ๆ คนไม่ได้มีคุณภาพมากสักเท่าไรนัก บางครั้งบางคราวพวกเขาก็เลือกเดินทางไม่ถูก หันไปเป็นอันธพาลหรือหาเรื่องข้องแวะกับเรือนจำกับตารางไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ตรงนี้เป็นถิ่นฐานบ้านช่องของ มูฮัมหมัดอาลี หรือชื่อเดิมเป็น แคสเซียส เคลย์ (ในที่นี้จะขอเรียกว่าอาลี เพื่อเข้าใจง่าย) อาลีเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่อดอยาก แม้กระนั้นก็มิได้ถึงกับแร้นแค้นจนกระทั่งจำต้องอดอยาก ในวันที่วางมือ

ด้วยเหตุดังกล่าวเขาก็เลยเป็นเด็กดีของที่บ้านตลอดมา บิดาของเขาเป็นช่างวาดภาพ รับงานด้านการเขียนป้ายที่ใช้โฆษณาหรือใบเสร็จรับเงินกระดานต่าง ๆ ช่วงเวลาที่แม่ของเขาปฏิบัติงานเป็นบุคลากรทำความสะอาดอาลี ตั้งมั่นเรียนหนังสือโดยตลอด

เขามีรถจักรยานคู่ใจ 1 คันสุดที่รักมากมาย ๆ ที่บิดาของเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสตอนเขาอายุ 12 ปี รถจักรยานคันใหม่มากคันนี้อาลี จะปั่นไปทั่วทั้งเมืองรวมทั้งแน่ ๆ เขาไม่ลืมเลือนที่จะปั่นไปสถานศึกษาเพื่ออวดเพื่อนพ้อง ๆ ด้วย

เขาหยุดรถจักรยานรวมทั้งล็อกกุญแจอย่างยอดเยี่ยมก่อนที่จะเดินเข้าห้องประชุมโคลัมบัส และก็ภายหลังจากทำธุระเสร็จในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง เขากลับออกมายังที่ที่เคยหยุดรถจักรยานสุดรักไว้ เพียงแต่ว่าช่วงนี้มันโดนตัดโซ่รวมทั้งหายไปเป็นระเบียบแล้ว นี่เป็นความโกรธเคืองระดับทะลุปรอทคราวแรกของเด็กอายุ 12 ปี

เด็กชายอาลี เดินไปยังโรงพักที่ใกล้ที่สุดแล้วตกลงใจแจ้งเหตุ นี่ดูเหมือนจะเป็นการปฏิบัติที่สุดยอดมากมายที่เขาคิดจัดการกับปัญหาได้ไวโดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง ไม่เสี่ยงที่จะเจ็บตัว แต่ทว่าภายหลังจากตำรวจถามเขาว่า “ไอ้หนู แล้วนายจะทำเช่นไรถ้าหากพวกเราจับผู้ที่ลักขโมยรถจักรยานของนายมาได้”

อาลีตอบว่า “ผมจะต่อยหน้าแม่งให้สลบนี้เลย” ด้วยความโกรธเคืองสุด ๆ เจ้าหน้าที่คนนั้นชื่อว่า โจ มาร์ติน เขาเล่านี้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสในตอนหลัง  เขาหัวเราะจนตัวสั่นที่มองเห็นเด็กหัวร้อนเลือดขึ้นหน้าเพราะเหตุว่ารถจักรยานหาย รวมทั้งปรารถนาที่จะต่อยผู้ที่ลักขโมยมากยิ่งกว่าการเอารถจักรยานคืน

“ไอ้หนู แล้วแกจะไปต่อยเขาเนี่ยเอ็งต่อยมวยเป็นหรือยัง ? มนุษย์เราเนี่ยถ้าหากต้องการจะต่อยคนไหนกันแน่แต่ว่าไม่รู้จักแนวทางต่อยมันจะเบี่ยงเนื่องจากเป็นข้างแพ้เขามากยิ่งกว่านะ นายจะเลียนแบบนั้นไหม ? … หากไม่ มาเรียนชกมวยกับฉันดียิ่งกว่า”

ข้าราชการ โจ มาร์ติน ยื่นข้อเสนอแล้วก็ถูกใจในความดุเดือดเลือดพล่านของอาลี … หนุ่มน้อยตอบรับโดยใช้ความโกรธเคืองนำทาง โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าวินาทีประวัติศาสตร์มวยโลกได้ถูกเริ่มนับ 1 แล้วในวันนั้น

นักต่อยเยี่ยมที่สุด

นักต่อยเยี่ยมที่สุด เปิดตำนาน พริ้วราวกับผีเสื้อ ต่อยเจ็บราวกับผึ้ง

ดีเอ็นเอ เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันได้ผ่านทางสายโลหิต บางบุคคลหน้าเสมือนบิดา บางรายจมูกเสมือนแม่ แต่ว่าสำหรับอาลี เขาได้ดีเอ็นเอ ของทั้งคู่คนมารวมเอาไว้ในตนเอง รวมทั้งศึกษาค้นพบว่ามันมีสาระมากมาย ๆ

เมื่อเขาขึ้นเวทีอาลี เล่าว่าบิดาของเขาเป็นช่างวาดเขียนที่มีความติสต์สุด ๆ ถูกใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นศิลปะ ร้องรำทำเพลง ถูกใจเต้น ด้วยลีลาท่าทางที่พริ้วไหว ส่วนแม่ของเขาด้านนอกเป็นคนใจดีมีอารมณ์ขัน

แม้กระนั้นเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นการเป็นคุณแม่นักสู้ผู้ทรหดอดทนทำงานมาก ทั้งยังหารายได้เข้าบ้านรวมทั้งรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนทุกสิ่ง รวมทั้งการดูแลทุกคนในครอบครัว เขาได้รับส่วนประกอบทั้งหมดทั้งปวงมา

ลีลาท่าทางสเต็ปเท้าที่พริ้วไหวเกิดขึ้นจากการได้ฟังเพลงรวมทั้งเต้นตามฟีลลิ่งมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่การเห็นแม่ทำงานมากก็ดูดซับเข้ามาในตัวจนถึงเปลี่ยนเป็นผู้ที่มีน้ำอดน้ำทน ไม่ยกเลิกอะไรกล้วย ๆ จวบจนกระทั่งจุดหมายจะสำเร็จ

ถ้าเกิดมีความรู้สึกว่าเหตุผลที่อาลี ได้สมญานามว่า “พริ้วเสมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเสมือนผึ้ง” ที่เกิดขึ้นจากแนวทางการต่อยของเขา บางทีอาจแสดงว่าบิดารวมทั้งแม่ของเขามีส่วนเป็นอย่างมากที่ทำให้เขาถูกกล่าวขวัญไปในแนวทางนี้ เจ้ากี้เจ้าการนี่

โจ มาร์ติน บอกเสมอว่าเด็กวัยหนุ่มอย่างอาลี เป็นความภูมิใจของเขา โคลัมเบีย ยิม ที่เขาดูแลภายใต้งบประมาณของสถานีตำรวจหลุยส์วิลล์ นับว่าเป็นโรงยิมชกมวยสำหรับเด็กผิวดำโดยยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากในสมัย 50 มีการแยกสีผิวเด่นชัด คนดำจำต้องดำเนินชีวิตแบบพสกนิกรชั้นสอง

การได้รับการดูแลจากเมืองน้อยกว่า ทำให้ไม่ว่าใครที่ฝึกหัดในยิมนี้แล้วอยากได้รับประสิทธิภาพระดับเดียวกับที่โรงยิมใหญ่ ๆ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือล้ำยุค มีผู้ฝึกสอนพอเพียงกับเด็กได้ ควรต้องบากบั่นให้มากยิ่งกว่าบุคคลอื่นหลายเท่า มวยไทย

อาลีอาจจะเริ่มต้นชกมวยเพียงแต่เนื่องจากว่าต้องการต่อยหน้าผู้ที่ลักขโมยรถจักรยาน แต่ว่าเมื่อได้ทดลองเขาก็เลยทราบดีว่าเขารักมันจริง ๆ อาลี ทำงานมากมากมายไม่ใช่แค่บนสังเวียน คาแร็กเตอร์ยียวนขี้คุยสุดกวนใจของเขาก็ถูกวางแบบโดยตัวของเขาเอง

เขาเป็นคนรู้จักกันหาจุดขายรวมทั้งเรียกความพึงพอใจมายังตนเองได้เสมอ “ตอนเด็ก ๆ ผมมองเห็นนักมวยปลุกปล้ำคนหนึ่งในทีวีชื่อว่า กอร์เจียส จอร์จ นักมวยปลุกปล้ำคนนั้นมีคาแร็กเตอร์ออกแนว ๆ ไอ้หนุ่มเจ้าสำอางถูกใจคุยโตเรื่องความงามของกล้ามและก็ความมีเสน่ห์ของตนเอง

ผมถูกใจมากมายเลยค่ะ ผมยึดเอาคำขวัญของเขามาเป็นแนวทางต่อยของผม เขากล่าวว่า ‘หากไอ้เลวผู้ใดกันกล้าสัมผัสบริเวณใบหน้าอันหล่อของฉันล่ะก็ ฉันจะต่อยมันให้หน้าคะมำแบบไม่ทันได้กะพริบตาเลย’

ผมว่าคำคมนี้มันโคตรจะชอบใจผมแบบสุด ๆ ผมก็เลยโวตลอดว่าผมเก่งที่สุด มันยังไม่ใช่แค่นี้ยังหล่อที่สุดอีกด้วย ผมตกลงใจว่าจะเป็นนักสู้ที่ขี้โอ่มากกว่าที่ กอร์เจียส จอร์จ เคยทำ การันตีว่าเยี่ยมแน่ ๆ “อาลี แถลงการณ์ในรายการกับ โอปราห์ วินฟรีย์ สมัยก่อนรายการทอล์กโชว์วาไรตี้เบอร์ 1 ของ อเมริกา เวลาที่เขาอายุ 60 ปี

นักต่อยเยี่ยมที่สุด

ทุกสิ่งถูกวางเอาไว้หมดด้วยตัวของเขาเองทั้งยังกรรมวิธีต่อยที่เร็วทันใจพริ้วไหว

มีความหนักของหมัดจากการฝึกฝนที่ถูกแนวทาง ที่สำคัญยังมีคาแร็กเตอร์คุยโวโอ้อวดอาลี เป็นแบบงี้มานานแล้ว และไม่ถูกสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดฝีปากของเขาก็เลยแซ่บเยอะมากตั้งแต่ชายหนุ่มกระทั่งแก่อย่างยิ่งจริง ๆ

โจ มาร์ติน กับอาลี ฝึกซ้อมกันบ่อย ๆ แต่ละวัน เขาพาอาลี ไปแข่งขันระดับภูมิภาคในรายการต่าง ๆ กระทั่งอาลี เริ่มจะเก่งเกินกว่าที่โรงยิมของเขาจะรั้งไว้ได้ โจ ก็เลยได้พาอาลี ไปออกรายการ “ทูมอร์โรว แชมเปี้ยน”

ซึ่งเป็นรายการแนวหมัด ๆ มวย ๆ เช่นเดียวกับที่บ้านพวกเรามีการแข่ง “มวยไทย 7 สี” แม้กระนั้นเป็นเวทีของเยาวชนอาลี ไปออกรายการนั้นแล้วก็ชนะทุกคน ตราบจนกระทั่งในที่สุด

โจ มาร์ติน ที่เป็นผู้ฝึกสอนสมัครเล่นพร้อม ๆ กับการเป็นตำรวจก็ส่งอาลีถึงแม้ว่าจะผู้ฝึกสอนมือโปรอย่าง เฟร็ด สโตเนอร์ ต่อนี้ไปล่ะ สิ่งที่อาลี เตรียมมาเพื่อตนเองได้ถูก สโตเนอร์ อบรมไปอีกระดับ

ลีลาท่าทางพริ้วไหวเสมือนผีเสื้อ ไม่ใช่แค่คำขวัญแม้กระนั้นพริ้วจริง ๆ เกินกว่าที่คนไหนจะต่อยโดนกล้วย ๆ จำพวกที่ว่าแม้กระทั่งไม่ตั้งการ์ดก็บางครั้งอาจจะเอาชนะคู่ปรับได้โดยที่หน้ายังหล่อใสไม่มีรอยหมัดเลยด้วย

ช่วงเวลาที่การเอาจริงเอาจังของหมัดก็ถูกเสริมขึ้นด้วยการเหวี่ยงกำปั้นที่ถูกแนวทาง ต่อยทั้งยังไหล่ ไปตลอดตัว ประเภทที่ว่าเข้าปลายคางเป็นหลับ สมสมญานาม “ต่อยเจ็บเสมือนผึ้ง” ทุกสิ่งที่ถูกตั้งชื่อขึ้นมาแบบอวด ๆ แปลงเป็นความจริงได้ผ่านการฝึกซ้อมที่เอาจริงเอาจังตลอดเวลา 5 ปี

อีกสิ่งที่ไม่เคยตกเป็นลีลาท่าทางการพูดคุยผ่านสื่อที่เรียกเสียงเฮและก็ความพึงพอใจได้ตลอด จนได้รับอีกสมญานามว่า “ไอ้ขี้โม้แห่งหลุยส์วิลล์”อาลี บอกเสมอว่าคนอย่างเขามิได้เรียกว่าขี้โม้ ให้ใช้คำว่าขี้โอ่ดูเหมือนจะเหมาะสมกว่า ด้วยเหตุว่าสิ่งที่เขากล่าวไว้ ชอบเปลี่ยนเป็นจริงในตอนปลายเสมอ

แล้วอย่างงี้จะเรียกว่า “ขี้โม้” ได้ยังไง ?อาลี เป็นนักต่อยเยี่ยมที่สุดที่ได้รับรางวัลนักกีฬาสมัครเล่นแห่งชาติ, ได้รางวัลนวมทองคำ และก็ได้ไปต่อยในฐานะตัวกลุ่มชาติอเมริกาในโอลิมปิก 1960 ที่กรุงโรม พร้อมยังคว้าเหรียญทองรุ่นไลท์เฮฟวี่เวตกลับมาอีกด้วย

https://www.progettomarziale.com/