เปิดวาทะ แต่ว่าทำเอาควันออกหู เมื่อเจ้าตำนานฝั่งอเมริกา “เอ็ดดี อัลวาเรซ” จับเข่าให้สัมภาษณ์พร้อมทั้งคู่ประมือหนุ่มสุดอันตราย “ยูรี ลาปิคัส” ต่างฝ่ายต่างข่มกัน

เปิดวาทะ วัน แชมเปียนชิพ เตรียมระเบิดศึก 4 นัดในซีรีส์ที่มีชื่อว่า “ONE On TNT” ถ่ายทอดช่วงไพรม์ไทม์อเมริกา โดยขนบรรดานักสู้ผู้มีอิทธิพลมาเผชิญหน้าอย่างแน่นรุนแรง มีระบุครั้งแรก วันพุธที่ 7 ม.ย.นี้

หนึ่งในคู่เดือดของนัดหมายนี้เป็นการดวลความสามารถระหว่างเจ้าตำนานจากอเมริกาเหนือ “The Underground King” เอ็ดดี อัลวาเรซ กับนักสู้ชายหนุ่มฝีมืออันตราย “ยูรี ลาปิคัส” ซึ่งรั้งชั้น 2 ของแรงกิงรุ่นไลต์เวต

ทั้งสองพร้อมที่จะงัดข้อเพื่อมองว่าผู้ใดกันจะได้ไปต่อในฐานะผู้ท้าแข่งแชมป์โลก ONE กับเจ้าบัลลังก์ของรุ่นอย่าง “The Warrior” คริสเตียน ลี ซึ่ง คริสเตียน เองก็มีนัดป้องกันเข็มขัดกับผู้ท้าแข่งจอมเข้มแข็งอย่าง “ทิโมเฟย์ นาสติวคิน” ในวันพุธอาทิตย์ถัดมาในฐานะคู่เอก ข่าว มวยไทย

“ผมจะเริ่มกับ ยูรี แล้วก็ไปจบที่ คริสเตียน หรือผู้ใดก็ตามที่มีสายรัดเอวแชมป์อยู่ในครอบครอง” นี่เป็นบทสัมภาษณ์ของ เอ็ดดี ซึ่งมี ยูรี ได้ยินอยู่ด้วย ยูรี หนึ่งในนักสู้ที่คนไหนก็ไม่สมควรละเลย ความขรึม ภายใต้สายตาที่น่านับถือ ยูรี กำชัยเหนือคู่ปรปักษ์ทุกรายตลอด 14 ไฟต์ เขามิได้รู้สึกกลัวกับการที่จำเป็นต้องพบคู่ประมือมากเรื่องเสร็จที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อย่าง เอ็ดดี

เปิดวาทะ

“เอ็ดดี เป็นนักกีฬาที่มีชื่อที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นตำนาน ผมโตมาพร้อมกับการดูเขาบนสังเวียน แต่ว่าผมแน่ใจว่าถึงเวลาแล้ว ผมจะเป็นผู้ที่จะจบอาชีพของเขาในวันที่ 7 ม.ย.นี้”

เมื่อมองเห็นความเชื่อมั่นของสองทหาร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการชิงชัยคราวนี้จะมันดุเดือดแค่ไหน รับประกันได้เลยว่าฉากจบของไฟต์นี้จะก่อให้ผู้ชมครางครวญฮือแน่ๆ

“ผมมั่นใจว่า เมื่อพวกเราอยู่บนสังเวียน ยูรี อัดผม แล้วก็พวกเราก็เริ่มรัวอาวุธใส่กัน ผู้ชนะเกมนี้จะเป็นขวัญใจชาวอเมริกันตัวจริง” เอ็ดดี กล่าวจบท้าย

เปิดวาทะ

แชมป์โลกรุ่นไลต์เวตถึง 4 ยุค “เอ็ดดี อัลวาเรซ” เขาไม่ใช่แค่นักสู้ที่มีสไตล์การแข่งขันชิงชัยสุดตื่นเต้นตื่นเต้น แต่ว่ายังเป็นนักสู้ชายเพียงผู้เดียวในประวัติศาสตร์ที่ครอบครองแชมป์โลก 2 สถาบันชั้นหนึ่งในอเมริกาเหนือ เวลานี้เขาก้าวสู่เวทีระดับโลกเพื่อหวังปราบแชมป์โลก ONE รุ่นไลต์เวต เพื่อขึ้นแท่นเป็นนักสู้ชายคนแรกที่ครองแชมป์โลก 3 สถาบันใหญ่ที่สุดของโลก เหมือนฝันไป

ชีวิตที่เหนื่อยยากในเคนซิงตัน เมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ อัลวาเรซ ซึ่งเป็นนักมวยปลุกปล้ำตัวท็อปยุคมัธยมปลาย หวังใช้ศิลป์การต่อสู้แบบประสมประสานเพื่อสร้างชีวิตรวมทั้งครอบครัวที่ดียิ่งขึ้น ด้วยความตั้งใจจริงที่จะผันตัวเป็นนักสู้อาชีพให้เร็วที่สุด เขาสร้างผลงานน่าทึ่งในอเมริกาเหนือด้วยการคว้าชัยชนะรวด 10 ไฟต์แรก ก่อนที่จะผ่านไปสร้างชื่อในประเทศญี่ปุ่น

เมื่อกลับไปยังอเมริกา อัลวาเรซ คว้าแชมป์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต แล้วก็แปลงเป็นขวัญใจแฟนคลับสั่งสมชื่อเสียงแล้วก็เกียรติยศได้อย่างแน่นแฟ้น เขาคว้าชัยชนะโลก Bellator รุ่นไลต์เวต 2 สม้ย ก่อนตามมาด้วยเเชมป์โลก UFC รุ่นไลต์เวต แล้วก็ตอนนี้ อัลวาเรซ มุ่งหน้ามาที่ทวีปเอเชียอีกที กับความท้าใหม่ในการสร้างประวัติศาสตร์สุดยิ่งใหญ่ของเขาในทวีปนี้

ซาอูล อัลวาเรซ ผู้กระทำผลงานได้แชมป์โลก รุ่นที่ 4 รวมทั้ง ไทสัน ฟิวปรี่ ยอดมวยผู้ดีรุ่นยักษ์ สองแชมป์โลกคนดังคว้ารางวัล นักต่อยเยี่ยม ที่ประชุมมวยโลก ด้วยกัน ช่วงเวลาที่ เคธี่เทย์เลอร์ แม่เสือสาวไอริช แชมป์โลกไม่มีแพ้ คว้า 2 รางวัลอีกทั้ง ดีที่สุด แล้วก็ ไฟต์ที่ปี ไปครอบครอง

ส่วนนักต่อยไทย หลังจาก “ยักษ์แคระ” วันโชคดี ซีพีเอฟ สูญเสียแชมป์รุ่นเล็กสุด สตรอคอยว์เวต (105 ปอนด์) พร้อม สถิติโลก “แชมเปี้ยนไม่มีพ่ายแพ้” อันเป็นตำนาน เมื่อแพ้หนแรก หลังจากชนะรวดมา 54 ไฟต์ ด้วยการปราชัยคะแนน เพชรมณี (ปัญญา ประดับศรี) ในศึกสายโลหิตไทย บันทึกประวัติศาสตร์โลกดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ถูกลบออกจากสารบบโดยทันที พร้อมดันชื่อของ ฟลอยด์ เมย์เวทคุณร์ จูเนียร์ ยอดมวยโลกมหาเศรษฐีอเมริกัน (สถิติชนะรวด 50 ครั้ง 27 KO) ขึ้นรั้งชั้น 1 ของ “แชมเปี้ยนโลกสถิติไม่มีพ่ายแพ้” แทนที่ โดยปริยาย

ที่ประชุมมวยโลก WBC ซึ่งดำเนินงานโดย มัวริซิโอ สุไลมาน ประธานใหญ่ รวมทั้งมี พล.ตำบลอำเภอโกวิท ซื่อสัตย์ภักดีภูเขาไม่ ด้อยกว่าประธาน ปัจจุบันประกาศ ประกาศผลของการเลือกสรร รางวัล “ที่สุดที่ปี คริสต์ศักราช2020 ของ WBC” จากการใคร่ครวญของคณะกรรมการ ตลอดจนแฟนคลับซึ่งเปรียบได้ดั่งคนในครอบครัวของ ที่ประชุมมวยโลก ที่สุดแต่ละชนิดมีดังนี้

ถึงแม้ว่าตลอด 16 ปีในอาชีพนักกีฬาศิลป์การต่อสู้แบบผสมของ “The Underground King” เอ็ดดี อัลวาเรซ จะเคยเจอหน้ากับปัญหาขวากหนามมาแล้วทุกต้นแบบ แต่ว่าอดีตกาลแชมป์โลกรุ่นไลต์เวตหลายยุคผู้นี้ไม่เคยเผชิญอะไรที่น่าขนลุกพอๆกับการต่อสู้หนแรกของเขาในศึกวัน แชมเปียนชิพ

ในตอนนี้ อัลวาเรซ เริ่มจะมีคิวขึ้นชกกับ “Dagi” เซยิด ฉันเซน อาร์สลานาลิเอฟ ในรอบชิงแชมป์ของศึก ONE เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รุ่นไลต์เวต ในศึก ONE: CENTURY Part Iในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันอาทิตย์ที่ 13 เดือนตุลาคมนี้ แม้กระนั้นเมื่อมองดูย้อนกลับไป เขายังลืมไฟต์เปิดตัวลงด้วยเหตุผลหลายประการ

นักต่อยจากฟิลาเดเฟียผู้นี้ได้ขึ้นดวลกับ ทิโมเฟย์ ที่นาสติวคิน จอมพลังชาวรัสเซีย ในศึก ONE: A NEW ERA เมื่อมี.ค.ก่อนหน้านี้ และก็ภายหลังจากการสาดอาวุธเข้าใส่กันอย่างรุนแรง คืนประวัติศาสตร์ของเขาก็จบลงเร็วกว่าที่ควรจะ

“มันราวตาผมถูกฉีกออกเป็นสองเสี่ยงเลยคะ ผมคิดว่าลมมันผ่านมาถึงในตาผม ผมบอกได้เลยว่าไม่เคยมีการต่อสู้คราวไหน ที่ผมโดนอัดหนักกระทั่งเลิกพึงพอใจผลการแข่งขัน

“แม้กระนั้นในคืนนั้น ผมมีความรู้สึกว่าสุขภาพแล้วก็ความปลอดภัยของผม มันอยู่ในภาวการณ์เสี่ยงมากมายๆเพียงพอผมโดนเข้าไป สมองผมคิดโดยทันทีว่า ‘ผมจำเป็นต้องหลบไปที่ไหนสักที่เร็วๆและไม่ว่าผมจะโดนอะไรเข้าไป ผมจำต้องฟื้นให้เร็วที่สุด ถ้าหากผมต้องการจะยึดอาชีพนักสู้ถัดไปให้ยาวนาน”

อัลวาเรซ ได้รับบาดเจ็บมาพอเหมาะพอควรตลอดทางก่อนหน้าที่ผ่านมาในอาชีพนี้ เขาจำการบาดเจ็บแต่ละครั้งได้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าแผลแตกที่ตาจะมองน่าสะพรึงกลัวในตอนแรก แม้กระนั้นเขาก็ยังพอใจที่มันไม่ใช่เรื่องอะไรรุนแรงพอๆกับการบาดเจ็บที่หัวเข่า ซึ่งบางทีอาจจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นเป็นเวลานาน

ทัศคติอย่างนั้นเองที่พาให้ อัลวาเรซ ผ่านความยุ่งยากต่างๆในอาชีพของเขามาได้ ซึ่งโน่นเป็นคำตอบว่าเพราะเหตุใดเขาถึงล้มแล้วลุกได้ตลอด แถมยังเป็นการลุกขึ้นยืนมาอย่างกล้าแกร่งกว่าเดิมอีกด้วย

“แชมป์ไม่แพ้บ่อยครั้ง แชมป์แพ้ได้นะ ถ้าเกิดจะต้องพบกับผู้ที่เก่งที่สุดในโลก โน่นเป็นคุณกำลังสู่กับความแพ้พ่าย แม้กระนั้นคุณก็มิได้แพ้เสมอๆเหมือนกับวิธีทางของผม ผมคำสัญญามิได้ว่าจะ ชนะทุกคราว แต่ว่าคนแบบผมบอกได้เพียงแค่ว่า ผมจะไม่แพ้บ่อยครั้งนัก”

อัลวาเรซ ได้ประพฤติตามที่ตนเองลั่นคำพูดไว้ เมื่อเขาเผชิญหน้ากับ โฟลายัง ในศึก ONE: DAWN OF HEROES ที่มอลล์ ออฟ ทวีปเอเชีย อารีน่า กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนที่ผ่านมา

แน่ๆว่าไฟต์นี้ก็ดราม่าไม่แพ้ครั้งที่แล้ว เมื่อนักต่อยเจ้าถิ่นชาวประเทศฟิลิปปินส์ฟาดลูกเตะเข้าที่ขาของ อัลวาเรซ กระทั่งทำให้เขาหล่นลงไปบนผืนผ้าใบ และก็แทบที่จะพลาดท่า

โฟลายัง ได้โอกาสตามลงไปบนพื้น แล้วอัดด้วยหมัดอย่างไม่ยั้ง แม้กระนั้นจอมอึดคนอเมริกันกลับไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่ แถมคว้าจังหวะกลับเหตุการณ์กลับมาดีกว่า ก่อนที่จะจับคู่ต่อสู้ล็อกด้วยท่า Rear-Naked Choke จนกระทั่งนักสู้เจ้าถิ่นจะต้องยอมในที่สุด